18 พฤศจิกายน 2024
3 หุ้น “กลุ่มไฟแนนซ์” ตัวท็อป! โบรกอัพคำแนะนำ “ซื้อ” พ่วงเป้าใหม่
หุ้น

3 หุ้น “กลุ่มไฟแนนซ์” ตัวท็อป! โบรกอัพคำแนะนำ “ซื้อ” พ่วงเป้าใหม่

บล.ซีแอลเอสเอ แนะลงทุนแบงก์เล็ก-ไฟแนนซ์ จ่อรับดอกเบี้ยขาลง-ต้นทุนลง อย่างไรก็ตามพร้อมอัพราคาเป้า-คำแนะนำเป็นซื้อ TIDLOR-MTC- SAWAD เนื่องจากต้นทุนการกู้ถูกลงเป็นผลดีต่อ NIM

บริษัทหลักทรัพย์ ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CLSA ระบุในบทวิเคราะห์ถึงกลุ่มอุตสาหกรรมการเงินจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยโดยคาดการณ์ว่าการเติบโตของของสินเชื่อจะทรงตัวเนื่องจากกลุ่มธนาคารจะไม่มีการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์อย่างแข็งแกร่งมากนักในช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ยากกว่าที่คาดการณ์ไว้รวมไปถึงการขาดความชัดเจนของนโยบายจากทางรัฐบาล และความกังวลด้านคุณภาพสินทรัพย์ที่ยังกดดันอยู่

นอกจากนี้ ยังระบุว่าจะไม่มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในอนาคต ทำให้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ทรงตัวอยู่ในระดับเดิม อย่างไรก็ตาม หากเฟดเริ่มลดอัตราดอกเบี้ย
และธนาคารแห่งประเทศไทยลดดอกเบี้ยตามในเวลาต่อมา จะเป็นแรงหนุนให้กับกลุ่มธนาคารขนาดเล็ก และกลุ่ม Non-Bank จากการที่ต้นทุนการกู้ที่ถูกลง
และเป็นผลดีต่อ NIM

ขณะที่แรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่อ่อนตัวลงนั้น จะเป็นผลบวกต่อกลุ่มค้าปลีก และช่วยผลักดันการเติบโตได้ ส่วนความกังวลของธปท.ในเรื่องหนี้ครัวเรือนสูงก็
จะเริ่มผ่อนคลายจากอัราดอกเบี้ยที่ลดลง

ทั้งนี้ฝ่ายนักวิเคราะห์มีมุมมองเป็นกลางต่อกลุ่มการเงินของไทย โดยเปลี่ยนหุ้นในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ที่ชอบจาก ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL
เป็น ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB สำหรับธนาคารขนาดเล็ก คือ บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)หรือ TISCO ส่วนกลุ่ม Non-Bank
มองบวกต่อ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) MTC และ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR

โดยในปีนี้ CLSA มองว่าประเทศไทยจะเผชิญทั้งแรงต้าน และแรงผลักดัน โดยแรงต้านจะมาจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ ความไม่ชัดเจนของ
นโยบายจากทางรัฐบาลที่อาจทำให้การเติบโตของสินเชื่อหยุดอยู่กับที่ ในส่วนของปัญหาคุณภาพสินทรัพย์นั้นอาจยืดเยื้อต่อไปในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ส่วนต้นทุน
ความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อ (Credit Cost) นั้นคาดการณ์ว่าถึงระดับสูงสุดไปแล้วเมื่อปี 2566

ด้านแรงผลักดันในปี 2567 คาดการณ์ว่าจะมาจากอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มคงที่ และมองเห็นว่าธปท.จะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยในอัตรา 0.25% ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2567
หากเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำหรือติดลบ โดยไตรมาสที่ 4/2566 คาดการณ์ว่าจะเป็นช่วงสุดท้ายที่ NIM จะอยู่ในระดับสูง หลังจากธปท. ปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้าย
ไปแล้วในปี 2566 ซึ่งการเติบโตของสินเชื่อคาดการณ์ว่าจะปิดปี 2566 อย่างแข็งแกร่ง แต่จะเริ่มชะลอลงในไตรมาส 1/2567

อย่างไรก็ตาม หากรายได้จากการดำเนินงานจะดีขึ้นได้นั้น จะต้องเป็นรายได้ที่มาจากดอกเบี้ย โดยนักวิเคราะห์มองเห็นการเติบโตจากฐานที่ต่ำในปี 2566 ส่วนต้นทุน
ความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อ (Credit Cost) คาดการณ์ว่าจะชะลอลงจากจุดสูงสุดในปี 2566 ซึ่งจุดนี้คาดว่าจะเป็นปัจจัยผลักดันหลักสำหรับกำไรของกลุ่มการเงิน

ทั้งนี้ฝ่ายนักวิเคราะห์ระบุว่าหุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวได้ดีกว่า SET Index ในปี 2566 แต่ในปี 2567 ควรจะใช้กลยุทธ์ Selective Buy มากกว่าจากแรงต้านที่ต้องเผชิญ

โดยในหุ้นกลุ่มธนาคารทางฝ่ายนักวิเคราะห์เลือก KTB (จากก่อนหน้านี้ที่มองว่า BBL ดีที่สุด) ซึ่งยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ทั้งสองหุ้นอยู่ แต่ปรับลดราคาเป้าหมายของ
KTB จาก 60 เป็น 50 บาท

นอกจากนั้น ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB จากเงินปันผลที่ดี ขณะที่ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
หรือ KBANK เช่นเดียวกัน แต่ปรับลดราคาเป้าหมายจาก 169 บาท เหลือ 153 บาท และปรับลดคำแนะนำของ ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB
จาก ซื้อ เป็น ขาย โดยยังคงมีความระมัดระวังเรื่องของคุณภาพสินทรัพย์สำหรับกลุ่มธนาคารอยู่

ส่วนกลุ่มสินเชื่อ CLSA แนะนำ “ซื้อ” TIDLOR พร้อมปรับคำแนะนำจากขาย เป็น “ซื้อ” ของ MTC รวมถึงราคาเป้าหมายที่เพิ่มขึ้นจาก 32 บาท ขึ้นเป็น 54 บาท
นอกจากนั้น ก็ยังปรับคำแนะนำของ SAWAD จาก ขาย เป็น “ซื้อ” รวมถึงราคาเป้าหมายจาก 42 บาท ขึ้นเป็น 44 บาท

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตเปิดลบ จากแรงขายทำกำไรหลังพุ่งแรง

ThaiSmartBiz

หุ้นไทยปี 2567 ผ่านมาแล้วเกือบ 10 วัน ทำไม “ต่างชาติ” ยังขายไม่หยุด

ThaiSmartBiz

กอบศักดิ์ พอใจ 3 สัปดาห์ ซื้อกองทุน Thai ESG กว่าแสนคน

ThaiSmartBiz